บริษัทจ้าวเทคโนโลยีที่ ล้ำหน้านี้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1919 ที่กรุงโตเกียว โดยใช้ชื่อว่า K.K. Takachiho Seisakusho (Takachiho Work Co., Ltd.) โดย ยามาชิตะ ทาเคชิ อดีตพนักงานบริษัทเงินทุนสำหรับธุรกิจใหม่ โดยได้ร่วมงานกับวิศวกรผู้บริหารที่ชื่อว่า เทราดะ ชินทาโร่ ซึ่งเคยทำงานอยู่ในบริษัทผู้ผลิตกล้องจุลทรรศน์และเทอร์โมมิเตอร์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นประเทศญี่ปุ่นต้องนำเข้าเทคโนโลยีกล้องจุลทรรศน์จาก เยอรมันเป็นหลัก ซึ่งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้มีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอาชนะบริษัท ซึ่งทำการนำเข้าอุปกรณ์ชนิดนี้ให้ได้
กล้องจุลทรรศน์ตัวแรกของบริษัทถูกเปิดตัวขึ้นตั้งแต่ ก่อนปี ค.ศ. 1920 และจำหน่ายภายใต้ชื่อ Tokiwa ส่วนชื่อ Olympus นั้นถูกนำมาใช้ภายหลัง (ปีเดียวกัน) และเริ่มเป็นที่เน้นหนักมากขึ้นนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 เป็นต้นมา แต่กว่าที่จะมีการนำโลโก้อย่างเป็นทางการออกมาใช้ก็ในปี ค.ศ. 1931 ด้วยชื่อเต็มว่า Olympus Tokyo ซึ่งในช่วงเวลานั้นกล้องจุลทรรศน์ซึ่งเป็นผลงานของบริษัทก็เข้าประจำการใน กองทัพเรือญี่ปุ่น และยังได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากทางทหารในปี ค.ศ. 1933 ด้วยข้อเสนอที่ทำให้สามารถบันทึกภาพจากกล้องจุลทรรศน์เหล่านั้นได้ด้วย
ในส่วนของงานถ่ายภาพนั้น บริษัทเริ่มก้าวแรกขึ้นในปี ค.ศ. 1934 โดยกำหนดทิศทางไปที่เลนส์สำหรับกล้องถ่ายภาพเป็นอันดับแรก บริษัทลูกที่ชื่อว่า Mizuho Kogaku Kenkyujo จึงได้ถูกก่อตั้งเพิ่มขึ้นเพื่อรับผิดชอบโครงการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้ผลงานออกมาเป็นเลนส์ต้นแบบที่พัฒนาจากเลนส์ของ Tessar แบบสี่ชิ้นเลนส์แบ่งเป็นสามกลุ่ม ซึ่งมีเลนส์ต้นแบบนี้ถึงสามตัวเป็นผลงานชิ้นแรก นั่นก็คือ 105mm f/4.5, 75mm f/3.5 และ 75mm f/4.5 ในปี ค.ศ. 1936 ซึ่งในโอกาสนี้เอง บริษัทก็ได้เปิดการประกวดตั้งชื่อเลนส์ขึ้นในหมู่พนักงาน ซึ่งชื่อที่ชนะการประกวดในครั้งนั้นก็คือ “Zuiko” อันมีที่มาจากชื่อบริษัทเอง และชื่อนี้ก็ยังคงใช้งานเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ในปีเดียวกันนี้เอง บริษัทก็ได้รับทุนสนับสนุนในการพัฒนาเลนส์ไวแสง (รูรับแสงกว้าง) เป็นจำนวนถึง 9,000 เยน (ซึ่งถือว่าสูงมากในสมัยนั้น) ผลจากการพัฒนาในครั้งนั้นได้ให้กำเนิดเลนส์ไวแสงถึงสามรุ่นด้วยกันนั่นก็คือ Zuiko 65/2.7, Falcon 65/2 และ Olympar f/1.5 ซึ่งกลายมาเป็น Zuiko 50/1.5 ในเวลาต่อมา
ในส่วนของกล้องถ่ายภาพนั้น บริษัทได้เปิดตัวกล้องของตนเองรุ่นแรกอย่างเป็นทางการคือ Semi-Olympus I ในปี ค.ศ. 1936 ด้วยการประกาศเป็นคู่แข่งกับ Contax และ Ikonta จากเยอรมันแบบเต็มตัว ซึ่งก็ตามมาด้วยกล้องรุ่น Semi Olympus II แต่แววแห่งการเป็นผู้นำเทรนด์ทางด้านการถ่ายภาพยุคใหม่ของโอลิมปัสนั้นเริ่ม ขึ้นในปี ค.ศ. 1959 ด้วยการประกาศเปิดตัว Olympus PEN ซึ่งใช้พื้นที่บนฟิล์มด้วยขนาด 18 x 24 mm (Half Frame) ทำให้สามารถบันทึกภาพได้ถึง 72 ภาพด้วยม้วนฟิล์ม 36 ภาพมาตรฐานที่ใช้กันอยู่โดยปกติ ซึ่งด้วยเทคนิคการออกแบบลักษณะนี้ทำให้มันเป็นกล้องที่มีขนาดเล็กและใช้งาน สะดวกที่สุดในขณะนั้น
ก่อนหน้า Semi Olympus I นั้น Olympus ได้ออกแบบและผลิตกล้องรุ่น Olympus Standard มาก่อนแล้ว แต่ด้วยเหตุผลความจำเป็นทางด้านสงครามกับจีนในขณะนั้นทำให้กองทัพต้องการให้ บริษัทผลิตเครื่องมือตัวอื่นเพื่อใช้ในการทำสงครามมากกว่า และด้วยทรัพยากรและบุคคลากรที่ไม่เพียงพอ โครงการผลิต Olympus Standard จึงต้องยุติลงกลางคัน มีเพียงต้นแบบจำนวน 10 ตัว (หมายเลขประจำตัวกล้อง 101 – 110) ที่ถูกผลิตออกมาสำเร็จไปก่อนหน้าเพียงเท่านั้น
นอกจากนี้ทีมงานผู้ออกแบบกล้อง PEN ยังได้ออกแบบเลนส์ OM System เพื่อใช้งานในระดับมืออาชีพกับกล้องขนาด 35 mm ซึ่งมีขนาดเล็กและเบากว่าเลนส์ทั่วไป อีกทั้งยังมีความสามารถพิเศษในการทำงานร่วมกับแฟลชผ่านเลนส์แบบอัตโนมัติ ซึ่งเลนส์สายพันธ์ุดังกล่าวนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในกล้องรุ่นที่ขายดีที่สุดใน ขณะนั้นของทั้ง Nikon และ Canon ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของออโตโฟกัสนั้น Olympus กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่นัก ยังคงเดินหน้าผลิตเลนส์สำหรับกล้องฟิล์มระดับมืออาชีพระบบเดิมต่อไป
นับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน Olympus ได้เปิดตัวกล้องไปแล้วมากกว่าร้อยรุ่น รวมทั้งเลนส์ Zuiko และ OM System อีกเป็นจำนวนมากด้วย
มาถึงยุคดิจิตอล Olympus เริ่มรุกในตลาดของกล้องคอมแพ็คก่อนเป็นอันดับแรก และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับกล้องในตระกูล “มิว” (µ : mju) ตามมาด้วย DSLR ในตระกูล “E” แต่ในช่วงแรกนั้นมันจะไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่นักถ่ายภาพในขณะนั้นให้ความสนใจพอสมควร เพราะราคาไม่แพงมากนัก
ต่อมาในปี ค.ศ. 2003 เมื่อกล้อง DSLR มีแนวโน้มในตลาดว่าจะมีราคาถูกลงเรื่อยๆ Olympus ก็ได้เตรียการรองรับด้วยการเปิดตัว DSLR ในตระกูล “E” อีกครั้งในรูปแบบที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ตามปกติ แต่ด้วยความที่ไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องของระบบออโตโฟกัสเหมือนกับ ยี่ห้ออื่นๆ Olympus จึงได้เลือกพัฒนาระบบเลนส์ของตัวเอง และก็ได้เลือกพัฒนาเซนเซอร์แบบ Four-Third (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเซนเซฮร์ชนิด APS ที่นิยมใช้กันอยู่ในยี่ห้ออื่น) เพื่อมาใช้กับกล้องรุ่น “E” ทั้งหลายด้วย ซึ่งกล้อง DSLR ตัวแรกชนิดสมบูรณ์แบบของ Olympus ก็คือ Olympus E-1ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งเป็นกล้องในระดับมืออาชีพแต่มีขนาดตัวกล้องระดับสมัครเล่นเนื่องจากเซน เซอร์รับภาพมีขนาดเล็กกว่า และในปีเดียวกันนั้นเอง บริษัทก็ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Olympus Corporation อย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้น Olympus ก็ได้ยุติการผลิตกล้องฟิล์มไปในปี ค.ศ. 2005
จากวิสัยทัศน์ตั้งแต่เมื่อเริ่มก่อตั้งบริษัทนั้น ก็ยังคงเป็นแรงผลักดันให้กับ Olympus มาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จาก Olympus มักจะเริ่มเทรนด์ใหม่ในกล้อง DSLR เสมอๆ เช่น ระบบ Live View, จอ LCD แบบปรับเปลี่ยนองศาได้ หรือระบบการขจัดฝุ่น ที่เซนเซอร์รับภาพ ฯลฯ ซึ่งก็มักจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคู่แข่งอื่นๆ ด้วยอยู่เสมอ
เหตุผลของการเลือกใช้ชื่อบริษัทว่า Olympus นั้นมีที่มาอยู่ว่า ภูเขาโอลิปัสนั้นเป็นสถานที่สถิตย์ของ 12 เทพในตำนานของกรีกอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว โดยที่ปรัชญาของบริษัทนั้นมีอยู่ว่า “สะท้อนถึงจุดมุ่งหมายในการรังสรรค์อุปกรณ์ที่ดีที่สุดและคุณภาพสูงที่สุด แด่โลก”
ในขณะเดียวกัน ในตำนานของญี่ปุ่นนั้นก็มีภูเขาที่ชื่อว่า Takachiho ซึ่งที่บนยอดเขานั้นเป็นที่สถิตย์ของเหล่าทวยเทพและเทพธิดาถึงแปดล้านองค์ บริษัทเลือกใช้ชื่อ Olympus เพราะเหตุผลทางด้านความเป็นสากลและสาเหตุที่ภูเขาโอลิมปัสและภูเขาทาคาชิโอะ นั้นเป็นที่สถิตย์ของเหล่าทวยเทพเหมือนกัน และที่สำคัญก็คือชื่อ Takachiho นั้นเป็นชื่อของบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งบริษัทนี้ซึ่งเหมือนกับภูเขาแห่งทวย เทพในตำนานของญี่ปุ่นนั่นเอง ชื่อนี้ยังสะท้อนถึงแนวคิดของบริษัทอีกประการหนึ่งด้วยว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่โลก เหมือนดั่งที่ภูเขาทาเคชิโอะมอบแสงสว่างให้กับโลกเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเราจะรู้จัก Olympus กันในฐานะผู้ผลิตกล้องยี่ห้อหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้ว Olympus ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากในวงการเครื่องมือเพื่อ การแพทย์ นี่คืออีกด้านหนึ่งของ Olympus ที่เราแทบจะไม่รู้เลย
ขอบคุณที่มา..tsdmag.com
‹ ก่อนหน้า | 1 | 2 | 3 | ถัดไป › |
หน้าที่เข้าชม | 2,042,131 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 986,053 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 ก.พ. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 19 ก.ย. 2568 |