Minolta
บริษัทถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในโอซากาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1928 โดย คาซูโอะ ทาชิมา ในชื่อว่า Nichidoku Shashinki Shoten ซึ่งแปลว่าร้านขายกล้องญี่ปุ่น-เยอรมัน โดยอาศัยการสนับสนุนจากช่างเทคนิคกล้องชาวเยอรมันชื่อว่า Billy Neumann และ Willy Heilemann ซึ่ง Nifcarette กล้องถ่ายภาพตัวแรกของบริษัทในปี ค.ศ. 1929 นั้นจะใช้ระบบชัตเตอร์และเลนส์ที่นำเข้ามาจากเยอรมัน ซึ่งตามมาด้วยการผลิตกล้องอีกหลายรุ่นจากโรงงาน Mukogawa ของบริษัทเอง แต่ในปีถัดมาได้เกิดการสไตร์คของพนักงานโรงงานจากความไม่พอใจวิธีการบริหาร งานของ Willy Heileman ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของโรงงานในขณะนั้น Heileman ตัดสินใจอย่างรุนแรงด้วยการไล่พนักงานที่สไตร์คออกทั้งหมดและไม่เห็นด้วยกับ แนวคิดของทาชิมาที่อลุ่มอล่วยมากเกินไป ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นเหมือนกับจุดเริ่มต้นของรอยร้าวเล็กๆ ระหว่างผู้บริหารทั้งฝ่ายญี่ปุ่นและเยอรมัน อีกหนึ่งปีถัดมา (ค.ศ. 1931) บริษัทได้ปรับปรุงโครงสร้างใหม่และเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า Molta Goshi-gaisha ซึ่ง Molta นั้นมาจาก Mechanism, Optics and Lens by Tashima) ซึ่งไม่ปรากฏความหมายไปถึงความเกี่ยวข้องต่อเยอรมันดังเดิมแต่อย่างใด ซึ่งในปลายปีนั้นเอง ชาวเยอรมันทั้งสองที่ร่วมงานก็ได้แยกไปเปิดบริษํทชื่อ Neumann & Heilemann โดยชักชวนพนักงานบางส่วนตามไปด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมา กล้องถ่ายภาพภายใต้การผลิตของทาชิมาที่ชื่อ Nifcarette ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Sirius Bebe, รุ่น Nifcaklapp เปลี่ยนเป็น Sirius และ Nifcasport ได้เปลี่ยนเป็น Arcadia
ในปี ค.ศ. 1933 บริษัทก็ได้ทำการจดทะเบียนชื่อ “Minolta” และถูกใช้เป็นครั้งแรกกับกล้องภายใต้ชื่อรุ่นว่า Minolta ซึ่งสันนิษฐานกันว่าที่มาของชื่อนี้น่าจะมาจากคำว่า minoru ta (มิโนรุ ตะ – 稔る田) ซึ่งแปลว่า “ทุ่งข้าวที่สุกปลั่ง” อันมีความหมายในทางมงคลสำหรับชาวญี่ปุ่นไปในทางสุขภาพดีและการเจริญงอกงาม อุดมสมบูรณ์ ซึ่งคำว่า “มิโนรุ ตะ” นั้น ชาวญี่ปุ่นจะพูดออกเสียงว่า “Minolta” ซึ่งก็สามารถนึกภาพสำเนียงภาษาอังกฤษของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
กิจการกล้องและอุปกรณ์ยังคงดำเนินต่อเรื่อยมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1937 บริษัทได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น Chiyoda Kogaku Seiko K.K.
จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองผ่านพ้นไป Chiyoda ได้เปิดตัวกล้อง SLR 35 มม. ตัวแรกขึ้นในชื่อรุ่น SR-2 ในปี ค.ศ. 1958 โดยการผสมผสานเทคโนโลยีของ SLR ยุคใหม่เข้าด้วยกันเช่นช่องมองภาพ, ปริซึมห้าเหลี่ยม, ระบบกระจกสะท้อนภาพแบบดีดกลับ, เม้าท์เลนส์แบบ Bayonet, ระบบการเลื่อนฟิล์ม และการรีเซ็ทตัวเลขนับฟิล์ม ในปีถัดมา Chiyoda ก็เปิดสายการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาด้วย
กระทั่งในปี ค.ศ. 1962 Chiyoda ก็ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้งมาเป็น Minolta Camera K.K. และประกาศสักดาด้วยการเปิดตัวกล้อง SLR รุ่น Minolta SR-7 ซึ่งมีระบบวัดแสงด้วยแคดเมียนซัลไฟด์มาให้ใช้งานด้วย ส่งผลให้มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและดันให้ชื่อ Minolta ขึ้นไปอยู่ในบริษัทชั้นแนวหน้าสำหรับระบบวัดแสงเพื่อการถ่ายภาพ ตามมาด้วยการเดินหน้าผลิตอุปกรณ์เพื่อการวัดแสงสำหรับการถ่ายภาพโดยเฉพาะใน ปี ค.ศ. 1964 กระทั่งในปี ค.ศ. 1968 ชื่อของ Minolta ก็ดังเป็นพลุแตกอีกครั้ง เมื่อระบบวัดแสงของบริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็นเครื่องสำหรับการวัดแสงเพื่อ ถ่ายภาพในอวกาศโดยเดินทางไปกับยานอพอลโลเพื่อร่วมปฏิบัติการถ่ายภาพทั้งใน อวกาศและบนดวงจันทร์อย่างเป็นทางการ
ในปี ค.ศ. 1972 Minolta ได้ตกลงทำสัญญากับ Leitz ผู้ผลิตกล้องสัญชาติเยอรมันในการร่วมกันพัฒนากล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพชนิด ต่างๆ โดยมีผลงานชิ้นแรกออกมาในปี ค.ศ. 1974 คือ Leica CL และ Minolta XE SLR (SLR ตัวนี้เป็นพื้นฐานของ Leica R3 ในเวลาต่อมา) แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังมากที่สุดก็คือ Minolta XD-11 ซึ่งเป็น SLR 35 มม. ตัวแรกที่มีระบบ Aperture Priority (เลือกความเร็วชัตเตอร์อัตโนมัติ) และ Shutter Priority (เลือกขนาดรูรับแสงอัตโนมัติ) มาให้ใช้งานด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1985 Minolta ก็ได้สร้างชื่อเสียงอีกครั้งด้วยกล้องรุ่น Minolta 7000 ในฐานะที่เป็นกล้อง SLR ตัวแรกของโลกที่มีระบบออโตโฟกัสในตัวกล้อง จนกระทั่งในเวลาต่อมาทั้ง Canon และ Nikon ก็ได้ทำการพัฒนาระบบของตนเองขึ้นมาแข่งขันอย่างดุเดือด ทำให้ Minolta เริ่มแผ่วกระแสลงเรื่อยๆ
ในส่วนของกล้อง DSLR นั้น Minolta เริ่มต้นกับกล้องรุ่น RD-175 (ชื่อในการจำหน่ายคือ Agfa Actioncam) ซึ่งถือว่าเป็นกล้อง DSLR ตัวแรกๆ ในยุคนั้น (ค.ศ. 1995) ซึ่งมุ่งไปที่ผู้ใช้ระดับห้องปฏิบัติการหรือผู้ใช้ระดับจริงจังด้วยค่าตัว สูงถึง 10,000$ กับความละเอียดระดับ 1.75 MP และตามมาด้วย Minolta RD-3000 กับเทคโนโลยีที่เหนือชั้นด้วยการแยกแสงออกเป็นสองส่วนด้วยปริซึมเพื่อให้ไป ตกยังเซนเซอร์รับภาพแบบ CCD สองชุด ส่งผลให้มันมีความละเอียดสูงขึ้นเป็น 2.7MP
แต่ดูเหมือนว่า Minolta จะมาช้าเกินไป เรี่ยวแรงที่เคยมีนั้นก็ลดน้อยถอยลง จนกระทั่งต้องควบรวมกิจการเข้ากับ Konica เมื่อปี ค.ศ. 2003 ในที่สุด
ขอบคุณที่มา..tsdmag.com
‹ ก่อนหน้า | 1 | 2 | 3 | ถัดไป › |
หน้าที่เข้าชม | 2,044,325 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 988,247 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 ก.พ. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 3 ต.ค. 2568 |